Accrued Interest เข้าใจดอกเบี้ยค้างรับและวิธีการคำนวณ

ความสำคัญของดอกเบี้ยค้างรับในการบริหารจัดการทางการเงิน

บนโลกของการเงิน สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือการกู้ยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นในระดับตัวบุคคลหรือการกู้ยืมขององค์กรเพื่อนำมาใช้ดำเนินธุรกิจต่างๆสิ่งที่ตามมาอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้จากการกู้ยืมเหล่านั้นก็คือดอกเบี้ย โดยสาระสำคัญแล้วดอกเบี้ยค้างรับแสดงถึงการสะสมของดอกเบี้ยจากภาระผูกพันทางการเงินที่ยังไม่ได้ชำระ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร เงินกู้ หรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ดอกเบี้ยค้างรับมีบทบาทสำคัญในการกำหนดต้นทุนและมูลค่าที่แท้จริงของธุรกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ดอกเบี้ยค้างรับยังส่งผลโดยตรงต่องบการเงินของธุรกิจนั้นๆ ดอกเบี้ยค้างรับจะส่งผลต่องบกำไรขาดทุน และงบดุลเนื่องจากดอกเบี้ยค้างรับสามารถเป็นทั้ง ค่าใช้จ่ายและหนี้สิน การทำบัญชีที่แม่นยำเกี่ยวกับดอกเบี้ยค้างรับ จะช่วยสะท้อนถึงสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท โดยดอกเบี้ยค้างรับจะเกี่ยวข้องกับการบันทึกบัญชีในรูปแบบเกณฑ์คงค้าง

เกณฑ์การบันทึกบัญชี

  • เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ วิธีการบันทึกบัญชีโดยยึดตามเงินสดที่ เข้า-ออกจากกิจการ ไม่คำนึงว่ารายได้หรือค่าใช้จ่ายนั้นเกิดขึ้นแล้วจริงหรือไม่ โดยรายได้ และค่าใช้จ่ายจะถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุน เมื่อมีการเคลื่อนไหวของเงินสดเกิดขึ้นจริงเท่านั้น 
  • เกณฑ์คงค้างทางบัญชี (Accrual Basis) คือ วิธีการทางบัญชีที่ใช้เป็นหลักในการพิจารณาบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายให้อยู่ในงวดต่างๆ อย่างเหมาะสม โดยไม่คำนึงถึงกระแสเงินสดที่เข้า-ออกจากกิจการ ดังนั้น ตามเกณฑ์คงค้าง จะทำการรับรู้รายได้ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าหรือบริการแล้ว ไม่ว่ากิจการจะได้รับเงินหรือยังไม่ได้รับเงินก็ตาม เช่น การให้บริการแก่ลูกค้าแต่ยังไม่ได้รับเงิน การให้บริการนี้ก็จะต้องบันทึกเป็นรายได้ของกิจการถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้รับเงินก็ตาม สำหรับค่าใช้จ่าย ตามเกณฑ์คงค้างค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการใช้ทรัพยากรหรือได้รับบริการจากบุคคลอื่นแล้ว ไม่ว่าจะจ่ายเงินแล้วหรือไม่ก็ตาม

ดอกเบี้ยค้างรับ

ในทางบัญชี ดอกเบี้ยค้างรับหมายถึง จำนวนดอกเบี้ยสะสมที่เกิดขึ้น ณ วันที่ระบุของเงินกู้ หรือภาระผูกพันทางการเงินอื่นๆ แต่ยังไม่ได้รับการชำระ ดอกเบี้ยค้างรับอาจอยู่ในรูปแบบ ดอกเบี้ยค้างรับสำหรับผู้ให้กู้ หรือดอกเบี้ยค้างจ่ายสำหรับผู้กู้ ดอกเบี้ยค้างรับจะคำนวณ ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ตัวอย่างเช่น ธนาคารแห่งหนึ่งปล่อยกู้เงินจำนวนหนึ่งและมีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกวันที่ 20 ของแต่ละเดือน ในเดือนกันยายนจะต้องมีการคิดดอกเบี้ยค้างรับ 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 ถึง 30 และรายงานในงบกำไรขาดทุนเป็นรายได้หรือค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทให้กู้ยืมหรือกู้ยืม นอกจากนี้ส่วนของรายได้ค้างรับหรือค่าใช้จ่ายค้างจ่าย จะถูกรายงานในงบดุลว่าเป็นสินทรัพย์หรือหนี้สิน เนื่องจากดอกเบี้ยค้างรับนั้นคาดว่าจะได้รับหรือจ่ายภายในหนึ่งปี จึงมักจัดประเภทเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนหรือหนี้สินหมุนเวียน โดยดอกเบี้ยค้างรับนั้นเป็นผลมาจากการบันทึกบัญชีแบบเกณฑ์คงค้าง ซึ่งกำหนดให้มีการบันทึงรายการทางบัญชีเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงการเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดที่แท้จริง 

ตัวอย่างดอกเบี้ยค้างรับ

ธนาคารแห่งหนึ่งปล่อยกู้เงินจำนวน 2,000,000 บาท ที่อัตราดอกเบี้ย 10% ต่อปี ซึ่งจะทำการชำระทุกวันที่ 20 ของทุกเดือน ในกรณีนี้การบันทึกรายได้จากดอกเบี้ยที่ยังค้างชำระอีก 10 วันที่เหลือ ในรายการปรับปรุงบัญชีทุกสิ้นงวดสามารถคำนวณได้ดังนี้

  • (10% × (10/365)) × 2,000,000 = 5,480 บาท

จำนวนของดอกเบี้ยค้างรับที่เกิดขึ้นสำหรับฝั่งที่จะต้องได้รับเงินจะถูกบันทึกเป็นเดบิตรายการ “ดอกเบี้ยค้างรับ” ในงบดุล และบันทึกเป็นเครดิตรายการ “ดอกเบี้ยรับ” ในงบกำไรขาดทุน

ดอกเบี้ยจ่าย” ในงบกำไรขาดทุน และบันทึกเป็นเครดิตรายการ “ดอกเบี้ยค้างจ่าย” ในงบดุล ทั้งสองกรณีนี้เป็นการบันทึกรายการปรับปรุงทางบัญชี ซึ่งจะทำทุกสิ้นงวดของรอบบัญชีนั้นๆ เพื่อแก้ไขรายได้ และค่าใช้จ่ายให้ถูกต้อง

  • (10% × (30/365)) × 2,000,000 = 16,438 บาท

ในจำนวนนี้มีดอกเบี้ยค้างรับจากเดือนก่อนหน้าอยู่ 5,480 บาท ที่ถูกบันทึกในรายการปรับปรุงบัญชี และถูกย้อนกลับในต้นเดือนที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า ธนาคารจะได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ เป็นจำนวนเงิน เท่ากับ 10,958 บาท ซึ่งเท่ากับดอกเบี้ยระยะเวลา 20 วัน

  • (10% × (20/365)) × 2,000,000 = 10,958 บาท

ตัวอย่างดอกเบี้ยค้างรับจากการซื้อขายพันธบัตร

สมมุติว่าเราต้องการซื้อพันธบัตรซึ่งมีมูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100,000 บาท และพันธบัตรนี้ทำการจ่ายดอกเบี้ยที่ 5% ทุกครึ่งปี (จ่ายทุกวันที่ 1 มิถุนายน และ 1 ธันวาคม) หากเราวางแผนจะซื้อพันธบัตรนี้ในวันที่ 30 กันยายน เราจะสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้ดังนี้

  • ขั้นตอนที่ 1 คำนวณหาระยะเวลาระหว่างการจ่ายดอกเบี้ยครั้งล่าสุดกับวันที่จะซื้อ โดยระยะเวลาจะอ้างอิงจากมาตราฐานการคำนวณราคาและผลตอบแทนตราสารหนี้ 30/360 ดอกเบี้ยครั้งล่าสุดที่จ่ายคือวันที่ 1 มิถุนายน วันที่ซื้อพันธบัตรคือ 30 กันยายน ระยะเวลาจึงเท่ากับ 120 วัน 
  • ขั้นตอนที่ 2 คำนวณดอกเบี้ยค้างรับโดยใช้ ระยะเวลาคูณด้วย ดอกเบี้ยรายวัน คูณด้วย มูลค่าที่ตราไว้ จะได้ (120 × (5%/360) × 100,000 = 1,667 บาท
  • ขั้นตอนที่ 3 นำดอกเบี้ยค้างรับบวกเข้ากับมูลค่าที่ตราไว้ จะได้มูลค่าของพันธบัตร ณ วันที่ซื้อซึ่งจะเท่ากับ 100,000 + 1667 = 101,667 บาท 

และเมื่อถึงวันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันจ่ายดอกเบี้ยรอบที่ 2 ผู้ถือพันธบัตรจะได้รับดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน 2,500 บาท แต่ในจำนวนนี้มีดอกเบี้ยค้างรับอยู่ 1,667 บาทซึ่งถูกรวมอยู่ในมูลค่าของพันธบัตรตั้งแต่วันที่ซื้อแล้ว ทำให้ดอกเบี้ยรับสุทธิจะอยู่ที่ 833 บาท ซึ่งเท่ากับระยะเวลาการถือพันธบัตรครบ 60 วันนับจากวันที่ซื้อพอดี (60 × (5%/360)) × 100,000 =